วิตามินดี VS วิตามินอี

►วิตามินดีคืออะไร?
วิตามินดี, วิตามินที่ละลายในไขมันชนิดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดูดซึมแคลเซียม, แมกนีเซียม, ฟอสเฟต, และหน้าที่ทางชีวภาพอื่น ๆ วิตามินนี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของแคลเซียมในร่างกายและการเผาผลาญ, ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกอ่อน (rickets) และโรคกระดูกเปราะ (osteomalacia), และร่วมกับแคลเซียมช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน (osteoporosis) ซึ่งพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ นอกจากนี้ วิตามินดียังมีอิทธิพลต่อการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ, การอักเสบ, การแสดงออกของยีน, และกระบวนการของเซลล์เช่นการเจริญเติบโต, การแยกแยะ, และการตายของเซลล์ (apoptosis).

►วิตามินอีคืออะไร?
วิตามินอี, เป็นที่รู้จักในฐานะสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ไม่ละลายในน้ำแต่ละลายในตัวทำละลายอินทรีย์ เช่น ไขมันและเอทานอล ในฐานะสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน มันช่วยปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์จากอนุมูลอิสระที่มีปฏิกิริยา.

►แหล่งที่มา:
วิตามินดี:

1. แสงแดด: การสัมผัสกับแสงอัลตราไวโอเลตกระตุ้นให้ผิวหนังสังเคราะห์วิตามินดี รังสีอัลตราไวโอเลตบี (UVB) กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของ 7-ดีไฮโดรโคเลสเตอรอลในผิวหนังเป็นพรีวิตามินดี3 ซึ่งต่อมาจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินดีในรูปแบบที่ใช้งานได้ภายในร่างกาย.

2.อาหาร: อาหารหลายชนิดมีวิตามินดี รวมถึงปลา (แซลมอน, ทูน่า, ปลาค็อด), น้ำมันตับปลาค็อด, ไข่แดง, นม, โยเกิร์ต, และน้ำส้ม นอกจากนี้ อาหารเสริมบางชนิด เช่น ซีเรียล, ผลิตภัณฑ์นม, ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง, และน้ำส้ม อาจมีการเสริมวิตามินดีเพิ่มเติม.

3.อาหารเสริม: แนะนำให้รับประทานวิตามินดีเสริมทางปากหากการได้รับแสงแดดหรือการรับประทานอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับวิตามินดีในปริมาณที่เหมาะสม.

วิตามินอี:

1. น้ำมันพืช: น้ำมันพืช เช่น น้ำมันจมูกข้าวสาลี น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันปาล์ม และน้ำมันมะกอก เป็นแหล่งสำคัญของวิตามินอี.

2.ถั่วและเมล็ด: อัลมอนด์, เม็ดมะม่วงหิมพานต์, ถั่วลิสง, วอลนัท, พีนัท, เมล็ดฟักทอง, และเมล็ดแฟลกซ์ เป็นแหล่งวิตามินอีที่อุดมสมบูรณ์.

3.ผักใบเขียว: ผักใบเขียวบางชนิด เช่น ผักโขม กะหล่ำปลี คะน้า ผักกาดน้ำ และผักกาดหัวหอม ก็มีส่วนประกอบของวิตามินอีเช่นกัน.

4.อาหารจากธัญพืชเต็มเมล็ด: อาหารจากธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ขนมปังโฮลวีต ข้าวกล้อง และข้าวโอ๊ต ก็ช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินอีในร่างกายเช่นกัน.

5.แหล่งจากสัตว์: วิตามินอีสามารถพบได้ในปริมาณน้อยในอาหารจากสัตว์ เช่น ไข่แดง เนื้อวัว เนื้อไก่ และปลา.

►แบบฟอร์ม:
วิตามินดี:

1.วิตามินดี2 (เออร์โกแคลซิเฟอรอล): สกัดมาจากพืชเป็นหลัก โดยเฉพาะเชื้อราเออร์กอต วิตามินดี2 ใช้เป็นอาหารเสริมทั่วไป มักเติมลงในซีเรียล น้ำส้ม เป็นต้น.

2.วิตามินดี3 (โคเลแคลซิเฟอรอล): วิตามินดี3 ซึ่งได้มาจากอาหารจากสัตว์ เช่น ปลา, น้ำมันตับปลา, และไข่แดง สามารถสังเคราะห์ได้โดยผิวหนังของมนุษย์เมื่อได้รับแสงอัลตราไวโอเลต วิตามินดี3 เป็นที่นิยมใช้เป็นอาหารเสริม โดยทั่วไปรับประทานทางปาก และถือว่ามีความมีประสิทธิภาพมากกว่า เนื่องจากมีโครงสร้างใกล้เคียงกับรูปแบบที่ร่างกายผลิตขึ้นตามธรรมชาติ ทั้งสองรูปแบบสามารถถูกเปลี่ยนเป็นรูปแบบที่ใช้งานได้ในร่างกายเพื่อทำหน้าที่ทางสรีรวิทยาของวิตามินดี.

วิตามินอี:

1.แอลฟา-โทโคเฟอรอล: รูปแบบที่พบมากที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดของวิตามินอีในร่างกายมนุษย์ แอลฟา-โทโคเฟอรอลมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ช่วยปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ.

2.บีตา-โทโคเฟอรอล: แม้ว่าจะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่าอัลฟา-โทโคเฟอรอล แต่บีตา-โทโคเฟอรอลก็ยังคงพบได้ในอาหารบางชนิด.

3.γ-โทโคเฟอรอล: พบมากในถั่วและเมล็ดพืช, γ-โทโคเฟอรอลมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและอาจให้ประโยชน์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด.

4.δ-โทโคเฟอรอล: แม้ว่าจะพบได้น้อยกว่า แต่ δ-โทโคเฟอรอลก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นในกลุ่มวิตามินอี.

โดยสรุป ครอบครัวของวิตามินอีประกอบด้วยหลายรูปแบบ เช่น α-โทโคเฟอรอล, β-โทโคเฟอรอล, γ-โทโคเฟอรอล, และ δ-โทโคเฟอรอล โดยที่ α-โทโคเฟอรอลเป็นรูปแบบที่พบมากที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อพิจารณาการบริโภควิตามินอีในแต่ละวัน α-โทโคเฟอรอลมักเป็นจุดสนใจหลัก.

►ผลกระทบจากการบริโภคไม่เพียงพอ:
วิตามินดี:

1.สุขภาพกระดูก: วิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความแข็งแรงของกระดูก การขาดวิตามินดีอาจนำไปสู่โรคกระดูกอ่อนและโรคกระดูกพรุน เพิ่มความเสี่ยงต่อการกระดูกหัก.

2.การทำงานของกล้ามเนื้อ: วิตามินดีไม่เพียงพออาจทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อเสื่อมลง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้า อ่อนแรง และความสามารถในการออกกำลังกายลดลง.

3.ระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามินดีมีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การขาดวิตามินดีอาจทำให้การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันลดลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ.

4.สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด: งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการขาดวิตามินดีอาจมีความสัมพันธ์กับปัญหาหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูงและหลอดเลือดแข็งตัว.

5. อารมณ์และการทำงานของสมอง: ระดับวิตามินดีที่ไม่เพียงพอมีความเกี่ยวข้องกับโรคทางอารมณ์เช่นโรคซึมเศร้าและการเสื่อมของสมอง.

วิตามินอี:

1.ความเครียดออกซิเดชัน: วิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ การขาดวิตามินอีจะเพิ่มความเครียดออกซิเดชัน ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายต่อเซลล์และเนื้อเยื่อมากขึ้น.

2.การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามินอีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความสมบูรณ์ของระบบภูมิคุ้มกัน การได้รับไม่เพียงพออาจทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ.

3.สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด: วิตามินอีช่วยรักษาสุขภาพและความยืดหยุ่นของหลอดเลือดโดยการปกป้องเซลล์เยื่อบุหลอดเลือด การบริโภควิตามินอีต่ำเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหลอดเลือดแข็งและโรคหัวใจ.

4.ระบบประสาท: วิตามินอีมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทให้เป็นปกติ การได้รับไม่เพียงพออาจมีส่วนทำให้เกิดและทำให้โรคทางระบบประสาทเสื่อมเช่นโรคอัลไซเมอร์และโรคพาร์กินสัน.

5.ภาวะเจริญพันธุ์: วิตามินอีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพการสืบพันธุ์ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ การได้รับไม่เพียงพออาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของเซลล์สืบพันธุ์และภาวะเจริญพันธุ์.

►รูปแบบการมีอยู่ในยา:
วิตามินดี:

1.วิตามินดี2 (เออร์โกแคลซิเฟอรอล): วิตามินดีชนิดนี้มักพบในยาที่แพทย์สั่งและอาหารเสริม มีจำหน่ายในรูปแบบเม็ดรับประทาน แคปซูล หรือยาน้ำ.

2.วิตามินดี3 (โคเลแคลซิเฟอรอล): ใช้ในยาตามใบสั่งแพทย์และอาหารเสริมเช่นเดียวกัน วิตามินดี3 ซึ่งคล้ายกับดี2 สามารถรับประทานได้ในรูปแบบเม็ด แคปซูล หรือสูตรน้ำ.

3.การฉีดวิตามินดี: ภายใต้สถานการณ์เฉพาะ แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดวิตามินดี โดยเฉพาะในกรณีที่มีภาวะขาดวิตามินดีอย่างรุนแรงหรือในบุคคลที่มีปัญหาการดูดซึมผิดปกติ.

ยาวิตามินดีชนิดต่าง ๆ สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคลและคำแนะนำของแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินดี2 หรือวิตามินดี3 ทั้งสองชนิดให้วิตามินดีที่ร่างกายต้องการและช่วยบำรุงสุขภาพกระดูก ระบบภูมิคุ้มกัน และการทำงานของกระบวนการทางสรีรวิทยาอื่น ๆ.

วิตามินอี:

1.แอลฟา-โทโคเฟอรอล: แอลฟา-โทโคเฟอรอลเป็นสารที่มีปริมาณมากที่สุดและมีฤทธิ์มากที่สุด พบได้ทั่วไปในอาหารเสริมวิตามินอีชนิดรับประทาน ซึ่งมักอยู่ในรูปแบบแคปซูลหรือเจลนิ่ม.

2.วิตามินอีผสม: ยาวิตามินอีบางชนิดประกอบด้วยส่วนผสมของรูปแบบต่างๆ เช่น อัลฟา-โทโคเฟอรอล, เบต้า-โทโคเฟอรอล, แกมมา-โทโคเฟอรอล, และเดลตา-โทโคเฟอรอล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้โภชนาการวิตามินอีที่ครบถ้วน.

3. วิตามินอีชนิดทาภายนอก: มักถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ทาภายนอก เช่น ครีมบำรุงผิว โลชั่น และน้ำมัน วิตามินอีช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ และบรรเทาปัญหาผิว เช่น ผิวแห้งและคัน.

4.การฉีดวิตามินอี: ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดวิตามินอี โดยเฉพาะสำหรับภาวะสุขภาพเฉพาะหรือบุคคลที่มีภาวะดูดซึมผิดปกติ.

ยาวิตามินอีที่แตกต่างกันเหล่านี้สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคลและคำแนะนำของแพทย์ วิตามินอีในรูปแบบอาหารเสริมมักให้สารต้านอนุมูลอิสระและส่งเสริมสุขภาพโดยรวม ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทาภายนอกจะใช้สำหรับการดูแลและรักษาผิวหนัง.

https://collagensei.com/wp-content/uploads/2024/07/Vitamin-D-VS-Vitamin-E-300×192.png

เลื่อนขึ้นด้านบน